วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2559
วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2559
Tenses
Tense คือ รูปของคำกริยาที่บอกเวลาของการกระทำ ในภาษาอังกฤษการกระทำที่เกิดขึ้นในเวลาที่แตกต่างกันจะใช้รูปของคำกริยาที่แตกต่างกัน
ชนิดของ Tense
Tense แบ่งออกเป็น 3
ชนิดใหญ่ คือ
1. Present Tense ใช้กับการกระทำที่เป็นปัจจุบัน
2. Past Tense ใช้กับการกระทำที่เป็นอดีต
3. Future Tense ใช้กับการกระทำที่เป็นอนาคต
แต่ละ Tense ใหญ่แบ่งออกเป็น 4
Tense ย่อย จึงมีทั้งหมด 12 Tense ดังนี้
Present Tense
|
Past Tense
|
Future Tense
|
1. Present Simple Tense
|
1. Past Simple Tense
|
1. Future Simple Tense
|
2. Present Continuous Tense
|
2. Past Continuous Tense
|
2. Future Continuous Tense
|
3. Present Perfect Tense
|
3. Past Perfect Tense
|
3. Future Perfect Tense
|
4. Present Perfect Continuous Tense
|
4. Past Perfect Continuous Tense
|
4. Future Perfect Continuous Tense
|
Present
Simple Tense
Present
Simple Tense (ปัจจุบันกาล) คือ tense ที่พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
แต่ไม่ได้ระบุว่าการกระทำนั้นๆ สมบูรณ์แล้วหรือยัง โดยมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง : Subject + Verb 1 (s)
(ประธาน + กริยาช่องที่1)(s)
(เมื่อประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่ 3 หลังคำกริยาจะต้องเติมs)
ตัวอย่าง :
- I
go to school by car. (ฉันไปโรงเรียนโดยรถยนต์)
- He walks to school. (เขาเดินไปโรงเรียน)
หลักการใช้ Present Simple Tense
(1)
ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หรือเกิดขณะที่พูด เช่น
-Ann
watches television.
-Ron
takes a bath in the bathroom.
(2)
ใช้แสดงเหตุการณ์ที่เป็นจริงอยู่เสมอ ทั้งในอดีต,
ปัจจุบัน,
อนาคต
-The
earth moves around the sun.
(โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์)
-Americans
speak English.
(คนอเมริกันพูดภาษาอังกฤษ)
Verb ในความหมายนี้มีดังต่อไปนี้
1.
Verbs of perception: See, hear, smell, taste, feel, notice, recognize
2.
Verbs of emotion: Like, love, dislike, hate, prefer, want, need, wish, desire,
forgive, refuse, have
3.
Verbs of possession: Belong, owe, own, possess
4.
Verbs of thinking and ideas: Think, feel (think), believe, expect, doubt, hope,
know, mean, mind, realize, forget, recall, recollect. Suppose, trust
5.
Verbs อื่นๆ เช่น
appear, concern, consist, contain, seem, matter, deserve
Verbs ในข้อ
2-5 ไม่นิยมใช้ในรูป
Continuous tense ส่วน
verb ในข้อ
1 นั้น เมื่อใช้รูป
Continuous tense ความหมายจะต่างจากเมื่อใช้ในรูปของ
Simple tense เช่น
-
I see a beggar here every morning (= เห็น)
-
I am seeing the manager about this problem.
(= ไปพบ)
-
Rore smell sweet. (= มีกลิ่น)
-
He is smelling at the bottle to try and find out what has been in it. (= ดม)
-
The milk tastes sour. (= มีรส)
-
She is tasting the soups to see if it needs more salt. (= ชิม)
-
I feel sure that she is right. (= รู้สึก)
สำหรับ
Verb “feel” ถ้าไม่ได้นำหน้า
that – clause ก็จะใช้ในรูป
Continuous tense ได้ และนิยมใช้เมื่อต้องการเน้นถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง แต่เป็นความรู้สึกเกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราวไม่ถาวร เช่น
-I
am feeling tired. (ฉันกำลังรู้สึกเหนื่อย)
-I
am feeling hungry. (ฉันกำลังรู้สึกหิว)
-I
didn’t feel very well yesterday but I am feeling better today.
แต่ถ้า
“feel” มีความหมายเช่นเดียวกับ “thing” หรือหมายความว่า “มีความเห็นว่า” “คิดว่า” จะใช้ในรูปของ Simple tense เท่านั้นและส่วนมากจะอยู่หน้า that – clause เช่น
-I
feel that something horrible is going to happen to us.
-I
think that he has told us the truth.
เปรียบเทียบ
I am thinking about the new house have built.
(3)
ใช้แสดงเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นบ่อยๆ หรือเป็นประจำซึ่งโดยทั่วๆ ไปมักแสดงด้วย
adverb of frequency ต่อไปนี้
always
- เสมอ
often
- บ่อยๆ
usually
- ปกติ
frequently
- บ่อย
sometimes
- บางครั้ง
rarely
- นานๆครั้ง
ever
- เคย
never
- ไม่เคย
everyday
- ทุกๆวัน
every
week - ทุกๆสัปดาห์
ซึ่ง
adverb of frequency ข้างบนนี้มีการวางตำแหน่งในประโยค
คือ
(3.1)
หน้า
finite verbs
-
He always studies Math in the morning.
-
The children usually get up late.
(3.2)
หลัง
special finite verbs : V. to be, V to have, V. to do, can – could, may – might,
shall – should, will– would, must, ougth to, need, dare, used to
-
I am never late for work.
- We do not always come to school late.
-
He has seldom much money to school late.
(3.3)
ใช้
every day (week, month, year, Tuesday etc. )
-
My parents read the newspaper everyday.
-
Ann gets up at six o’clock every morning.
>
ใช้
every now and then วางหลังประโยคหรือหน้าประโยค
>
ใช้
from time to time ถ้าต้องการเน้นความหมาย
>
ใช้
once (twice) a day, three times a day (week, month, year etc.) วางไว้ท้ายประโยค
(4)
ใช้แสดงเหตุการณ์ หรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่กำหนดไว้เป็นโปรแกรม ซึ่งจะเกิดขึ้นในอนาคต
-
The concert begins at 2.30.
-
I fly to Bangkok tomorrow.
(5)
ใช้แสดงเหตุการณ์แทน
future tense ในประโยคเงื่อนไขที่1
และใน
subordinate clause โดยปกติจะอยู่ด้านหลังดังต่อไปนี้ if,
unless, when, before, while, until, till, whenever, as long as, so long as,
etc.
-
If it rains, I'll not go out.
-
I'll tell him when he comes.
(6)
ใช้ในประโยคคำกล่าวที่เป็นสุภาษิต หรือ คำพังเพย
-
Union is strength.
-
While there is life, there is hope.
(7)
ใช้ในประโยคคำสั่ง
(commands) หรือ ขอร้อง
(requests)
-
Get out of my room!
-
Don't talk in the class.
(8) ใช้ในการบรรยายเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น บรรยายฉากการแสดงละคร บรรยายการแข่งขันกีฬาทางวิทยุหรือโทรทัศน์เป็นต้น
-
When the curtain rises, Sunalee is sitting at her desk. The phone rings.
(9)
ใช้ในการบรรยายโปรแกรมที่ได้กำหนดไว้ในอนาคต เช่น โปรแกรมการเดินทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักงานท่องเที่ยวใช้มาก
-
We leave Bangkok at 7 a.m. next Saturday and arrive at Hua-Hin at 11 o’clock.
ประโยค Present Simple Tense
เชิงปฏิเสธ
เมื่อต้องการแต่งประโยคใน
Present Simple Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธ ทำได้ด้วยการใช้
Verb to do มาช่วย
มีหลักการใช้ดังนี้
Do
ใช้กับประธานพหูพจน์ และ
I กับ
you
Does
ใช้กับประธานเอกพจน์ ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง
: Subject + do / does + not + Verb 1
(ประธาน + do /
does + not + กริยาช่องที่1)
ตัวอย่าง
:
-
I do not (don’t) go to school by car.
(ฉันไม่ไปโรงเรียนโดยรถยนต์)
-
He does not (doesn’t) walk to school.
(เขาไม่เดินไปโรงเรียน)
-
You do not play football every day.
(คุณไม่เล่นฟุตบอลทุกวัน)
-
Somsri and Somsak do not study English every day.
(สมศรีและสมศักดิ์ไม่เรียนภาษาอังกฤษทุกวัน)
**ข้อสังเกต: เมื่อนำ does มาช่วยในประโยคแล้ว ต้องตัด s ออกด้วย
วิธีการสร้างประโยค Present Simple Tense
โครงสร้าง
|
Subject + Verb1
|
|||||||||
ประโยคบอกเล่า
|
I / You / We / They
|
eat
|
seafood.
|
|||||||
He / She / It
|
knows
|
about you.
|
||||||||
โครงสร้าง
|
Subject + do/does + not + Verb1
|
|||||||||
ประโยคปฏิเสธ
|
I / You / We / They
|
do
|
not
|
eat
|
seafood.
|
|||||
He / She / It
|
does
|
not
|
know
|
about you.
|
||||||
โครงสร้าง
|
Do/Does + Subject + Verb1?
|
|||||||||
ประโยคคำถาม
|
Do
|
I / you / we / they
|
eat
|
seafood?
|
||||||
Does
|
he / she / it
|
know
|
about you?
|
|||||||
โครงสร้าง
|
Who/What/Where/When/Why/How + do/does + Subject
+Verb1?
|
|||||||||
ประโยคคำถาม
Wh- |
Why
|
do
|
I / you / we / they
|
eat
|
seafood?
|
|||||
What
|
does
|
he / she / it
|
know
|
about you?
|
*คำปฏิเสธรูปย่อของ
do/does not คือ
don’t และ doesn’t
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)