วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2559

Tenses

        Tense คือ รูปของคำกริยาที่บอกเวลาของการกระทำ ในภาษาอังกฤษการกระทำที่เกิดขึ้นในเวลาที่แตกต่างกันจะใช้รูปของคำกริยาที่แตกต่างกัน

ชนิดของ Tense
Tense แบ่งออกเป็น 3 ชนิดใหญ่ คือ
        1. Present Tense ใช้กับการกระทำที่เป็นปัจจุบัน
        2. Past Tense ใช้กับการกระทำที่เป็นอดีต
        3. Future Tense ใช้กับการกระทำที่เป็นอนาคต
แต่ละ Tense ใหญ่แบ่งออกเป็น 4 Tense ย่อย จึงมีทั้งหมด 12 Tense ดังนี้

Present Tense
Past Tense
Future Tense
1. Present Simple Tense
1. Past Simple Tense
1. Future Simple Tense
2. Present Continuous Tense
2. Past Continuous Tense
2. Future Continuous Tense
3. Present Perfect Tense
3. Past Perfect Tense
3. Future Perfect Tense
4. Present Perfect Continuous Tense
4. Past Perfect Continuous Tense
4. Future Perfect Continuous Tense


Present Simple Tense
        Present Simple Tense (ปัจจุบันกาล) คือ tense ที่พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน แต่ไม่ได้ระบุว่าการกระทำนั้นๆ สมบูรณ์แล้วหรือยัง โดยมีโครงสร้างดังนี้
        โครงสร้าง : Subject + Verb 1 (s)
                        (ประธาน + กริยาช่องที่1)(s)
                        (เมื่อประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่ 3 หลังคำกริยาจะต้องเติมs)
        ตัวอย่าง :
                        - I go to school by car. (ฉันไปโรงเรียนโดยรถยนต์)
                        - He walks to school. (เขาเดินไปโรงเรียน)
หลักการใช้ Present Simple Tense
        (1) ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หรือเกิดขณะที่พูด เช่น
                -Ann watches television.
                -Ron takes a bath in the bathroom.
        (2) ใช้แสดงเหตุการณ์ที่เป็นจริงอยู่เสมอ ทั้งในอดีต, ปัจจุบัน, อนาคต
                -The earth moves around the sun.
                        (โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์)
                -Americans speak English.
                (คนอเมริกันพูดภาษาอังกฤษ)
Verb ในความหมายนี้มีดังต่อไปนี้
        1. Verbs of perception: See, hear, smell, taste, feel, notice, recognize
        2. Verbs of emotion: Like, love, dislike, hate, prefer, want, need, wish, desire, forgive, refuse, have
        3. Verbs of possession: Belong, owe, own, possess
        4. Verbs of thinking and ideas: Think, feel (think), believe, expect, doubt, hope, know, mean, mind, realize, forget, recall, recollect. Suppose, trust
        5. Verbs อื่นๆ เช่น appear, concern, consist, contain, seem, matter, deserve
Verbs ในข้อ 2-5 ไม่นิยมใช้ในรูป Continuous tense ส่วน verb ในข้อ 1 นั้น เมื่อใช้รูป Continuous tense ความหมายจะต่างจากเมื่อใช้ในรูปของ Simple tense เช่น
                - I see a beggar here every morning (= เห็น)
                - I am seeing the manager about this problem.
(= ไปพบ)
                - Rore smell sweet. (= มีกลิ่น)
                - He is smelling at the bottle to try and find out what has been in it. (= ดม)
                - The milk tastes sour. (= มีรส)
                - She is tasting the soups to see if it needs more salt. (= ชิม)
                - I feel sure that she is right. (= รู้สึก)
สำหรับ Verb “feel” ถ้าไม่ได้นำหน้า that – clause ก็จะใช้ในรูป Continuous tense ได้ และนิยมใช้เมื่อต้องการเน้นถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง แต่เป็นความรู้สึกเกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราวไม่ถาวร เช่น
                -I am feeling tired. (ฉันกำลังรู้สึกเหนื่อย)
                -I am feeling hungry. (ฉันกำลังรู้สึกหิว)
                -I didn’t feel very well yesterday but I am feeling better today.
แต่ถ้า “feel” มีความหมายเช่นเดียวกับ “thing” หรือหมายความว่ามีความเห็นว่า” “คิดว่าจะใช้ในรูปของ Simple tense เท่านั้นและส่วนมากจะอยู่หน้า that – clause เช่น
                -I feel that something horrible is going to happen to us.
                -I think that he has told us the truth.
เปรียบเทียบ I am thinking about the new house have built.
        (3) ใช้แสดงเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นบ่อยๆ หรือเป็นประจำซึ่งโดยทั่วๆ ไปมักแสดงด้วย adverb of frequency ต่อไปนี้
                always - เสมอ
                often - บ่อยๆ
                usually - ปกติ
                frequently - บ่อย
                sometimes - บางครั้ง
                rarely - นานๆครั้ง
                ever - เคย
                never - ไม่เคย
                everyday - ทุกๆวัน
                every week - ทุกๆสัปดาห์
ซึ่ง adverb of frequency ข้างบนนี้มีการวางตำแหน่งในประโยค คือ
                (3.1) หน้า finite verbs
                        - He always studies Math in the morning.
                        - The children usually get up late.
                (3.2) หลัง special finite verbs : V. to be, V to have, V. to do, can – could, may – might, shall – should, will– would, must, ougth to, need, dare, used to
                        - I am never late for work.
                        - We do not always come to school late.
                        - He has seldom much money to school late.
                (3.3) ใช้ every day (week, month, year, Tuesday etc. )
                        - My parents read the newspaper everyday.
                        - Ann gets up at six o’clock every morning.
                        > ใช้ every now and then วางหลังประโยคหรือหน้าประโยค
                        > ใช้ from time to time ถ้าต้องการเน้นความหมาย
                        > ใช้ once (twice) a day, three times a day (week, month, year etc.) วางไว้ท้ายประโยค
        (4) ใช้แสดงเหตุการณ์ หรือกิจกรรมต่าง ที่กำหนดไว้เป็นโปรแกรม ซึ่งจะเกิดขึ้นในอนาคต
                - The concert begins at 2.30.
                - I fly to Bangkok tomorrow.
        (5) ใช้แสดงเหตุการณ์แทน future tense ในประโยคเงื่อนไขที่1 และใน subordinate clause โดยปกติจะอยู่ด้านหลังดังต่อไปนี้ if, unless, when, before, while, until, till, whenever, as long as, so long as, etc.
                - If it rains, I'll not go out.
                - I'll tell him when he comes.
        (6) ใช้ในประโยคคำกล่าวที่เป็นสุภาษิต หรือ คำพังเพย
                - Union is strength.
                - While there is life, there is hope.
        (7) ใช้ในประโยคคำสั่ง (commands) หรือ ขอร้อง (requests)
                - Get out of my room!
                - Don't talk in the class.
        (8) ใช้ในการบรรยายเหตุการณ์ต่าง เช่น บรรยายฉากการแสดงละคร บรรยายการแข่งขันกีฬาทางวิทยุหรือโทรทัศน์เป็นต้น
                - When the curtain rises, Sunalee is sitting at her desk. The phone rings.
        (9) ใช้ในการบรรยายโปรแกรมที่ได้กำหนดไว้ในอนาคต เช่น โปรแกรมการเดินทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักงานท่องเที่ยวใช้มาก
                - We leave Bangkok at 7 a.m. next Saturday and arrive at Hua-Hin at 11 o’clock.

ประโยค Present Simple Tense เชิงปฏิเสธ
            เมื่อต้องการแต่งประโยคใน Present Simple Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธ ทำได้ด้วยการใช้ Verb to do มาช่วย
มีหลักการใช้ดังนี้
        Do ใช้กับประธานพหูพจน์ และ I กับ you
        Does ใช้กับประธานเอกพจน์ ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
          โครงสร้าง : Subject + do / does + not + Verb 1
                    (ประธาน + do / does + not + กริยาช่องที่1)
          ตัวอย่าง :
                        - I do not (don’t) go to school by car.
                        (ฉันไม่ไปโรงเรียนโดยรถยนต์)
                        - He does not (doesn’t) walk to school.
                        (เขาไม่เดินไปโรงเรียน)
                        - You do not play football every day.
                        (คุณไม่เล่นฟุตบอลทุกวัน)
                        - Somsri and Somsak do not study English every day.
                        (สมศรีและสมศักดิ์ไม่เรียนภาษาอังกฤษทุกวัน)
**ข้อสังเกต: เมื่อนำ does มาช่วยในประโยคแล้ว ต้องตัด s ออกด้วย

วิธีการสร้างประโยค Present Simple Tense
โครงสร้าง
Subject + Verb1
ประโยคบอกเล่า
I / You / We / They
eat
seafood.
He / She / It
knows
about you.
โครงสร้าง
Subject + do/does + not + Verb1
ประโยคปฏิเสธ
I / You / We / They
do
not
eat
seafood.
He / She / It
does
not
know
about you.
โครงสร้าง
Do/Does + Subject + Verb1?
ประโยคคำถาม
Do
I / you / we / they
eat
seafood?
Does
he / she / it
know
about you?
โครงสร้าง
Who/What/Where/When/Why/How + do/does + Subject +Verb1?
ประโยคคำถาม 
Wh-
Why
do
I / you / we / they
eat
seafood?
What
does
he / she / it
know
about you?
*คำปฏิเสธรูปย่อของ do/does not คือ don’t และ doesn’t